
ระวัง: หากพบจุดเหล่านี้บนผิวหนัง อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็ง
ทำไมคุณไม่ควรละเลยอาการบวมอย่างฉับพลันในร่างกาย
อาการบวม หรือที่เรียกว่า อาการบวมน้ำ เป็นภาวะที่ของเหลวสะสมในเนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้เกิดอาการบวมและขยายใหญ่ขึ้น แม้ว่าอาการบวมเล็กน้อยอาจเกิดขึ้นได้หลังจากยืนเป็นเวลานานหรือหลังจากได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่อาการบวมอย่างฉับพลันหรือไม่ทราบสาเหตุไม่ควรละเลย อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพเบื้องต้น ซึ่งบางอาการอาจต้องได้รับการรักษาทันที
ความสำคัญของการสังเกตอาการบวมที่ผิดปกติ
อาการบวมเป็นสัญญาณที่ร่างกายส่งสัญญาณว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติ อาจเป็นการตอบสนองต่อการบาดเจ็บ การติดเชื้อ หรือการอักเสบ แต่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาภายในที่ร้ายแรง เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคไต หรือภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (DVT) การทราบสาเหตุที่เป็นไปได้เบื้องหลังอาการบวมจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าควรไปพบแพทย์เมื่อใด
อาการบวมประเภทใดที่ควรกังวล?
แม้ว่าอาการบวมเล็กน้อยชั่วคราวอาจไม่ร้ายแรง แต่อาการบวมประเภทต่อไปนี้ควรได้รับการประเมินเพิ่มเติม:
1. อาการบวมที่ขาหรือแขนข้างเดียว
อาจเป็นสัญญาณของภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก (DVT) ซึ่งเป็นภาวะที่ลิ่มเลือดก่อตัวในหลอดเลือดดำส่วนลึก มักเกิดขึ้นที่ขา
มีอาการอุ่น แดง หรือปวดร่วมด้วย
DVT อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่คุกคามชีวิตได้หากลิ่มเลือดเดินทางไปที่ปอด (ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด)
2. อาการบวมที่ใบหน้าหรือลำคอ
อาการบวมบริเวณใบหน้า ริมฝีปาก หรือลำคอ อาจเป็นสัญญาณของอาการแพ้อย่างรุนแรง (ภาวะภูมิแพ้รุนแรง)
มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากได้รับสารก่อภูมิแพ้ (เช่น อาหาร ยา แมลงสัตว์กัดต่อย)
อาจมีอาการหายใจลำบาก ลมพิษ หรือเวียนศีรษะร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
3. เท้าและข้อเท้าบวม
อาจบ่งบอกถึงภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มักจะแย่ลงเมื่อสิ้นสุดวันหรือหลังจากนอนราบ
อาจมาพร้อมกับอาการอ่อนเพลีย หายใจถี่ หรือน้ำหนักขึ้น
4. อาการบวมร่วมกับอาการปวดขณะปัสสาวะหรือปวดหลัง
อาจบ่งบอกถึงปัญหาเกี่ยวกับไตหรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ส่งผลต่อการทำงานของไต
อาการบวมมักปรากฏที่ใบหน้า ขา หรือรอบดวงตา
อาจพบการเปลี่ยนแปลงความถี่หรือสีของปัสสาวะ
5. อาการบวมหรือท้องอืด
อาการบวมที่ท้องอย่างต่อเนื่องหรือเจ็บปวดอาจบ่งบอกถึงโรคตับ เช่น โรคตับแข็ง หรือการสะสมของของเหลวในช่องท้อง (ภาวะท้องมาน)
อาจมีอาการตัวเหลือง (ดีซ่าน) อ่อนเพลีย หรือคลื่นไส้
6. อาการบวมทั่วร่างกาย
อาจเป็นอาการของโรคไต (ไตทำงานผิดปกติ) ภาวะไทรอยด์ทำงานน้อย หรือโรคภูมิต้านตนเองบางชนิด
อาการบวมมักจะเกิดขึ้นที่ใบหน้า มือ ขา และหน้าท้อง
อาจทำให้น้ำหนักขึ้น อ่อนเพลีย และมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหรือเส้นผม
อะไรเป็นสาเหตุแรกของอาการบวม?
อาการบวมอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ:
การคั่งของเหลวเนื่องจากความผิดปกติของหัวใจ ตับ หรือไต
การอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อหรือภาวะภูมิต้านทานตนเอง
อาการแพ้ที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮิสตามีน
การบาดเจ็บหรือบาดแผลที่ทำให้เลือดและของเหลวไหลไปยังบริเวณที่ได้รับผลกระทบ
ผลข้างเคียงของยา รวมถึงยารักษาความดันโลหิต เบาหวาน หรือฮอร์โมน
เมื่อใดควรไปพบแพทย์
คุณควรติดต่อแพทย์ทันทีหากอาการบวม:
เกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่มีสาเหตุ
มีอาการปวด ร้อน แดง หรือมีไข้ร่วมด้วย
เกิดขึ้นกับแขนขาข้างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอาการกดเจ็บ (อาจมีลิ่มเลือด)
มักมีอาการหายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือเป็นลม (อาจมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหรือเส้นเลือดอุดตัน)
เป็นซ้ำหรือแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
เคล็ดลับในการป้องกันและจัดการกับอาการบวมเล็กน้อย
สำหรับกรณีที่ไม่รุนแรง เคล็ดลับเหล่านี้อาจช่วยลดหรือป้องกันอาการบวมได้:
เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ: การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันการสะสมของของเหลว โดยเฉพาะที่ขา
ยกขาขึ้น: ช่วยลดอาการบวมที่ขาและข้อเท้า
สวมถุงเท้ารัดกล้ามเนื้อ: ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
ลดการบริโภคเกลือ: โซเดียมส่วนเกินอาจทำให้เกิดการกักเก็บของเหลว
ดื่มน้ำให้เพียงพอ: สมดุลของเหลวที่เหมาะสมช่วยให้ร่างกายขับเกลือและของเสียส่วนเกินออกไป
สรุป
อาการบวมอาจดูเหมือนเป็นอาการเล็กน้อย แต่อาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายส่งสัญญาณถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่า ควรใส่ใจกับเวลาและสถานที่ที่อาการบวมเกิดขึ้น ระยะเวลาที่อาการบวมเป็นอยู่ และอาการอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่ หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอาการบวมเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เจ็บปวด หรือเกิดขึ้นเฉพาะที่ การตรวจพบแต่เนิ่นๆ และการวินิจฉัยที่ถูกต้องสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและปกป้องสุขภาพระยะยาวของคุณ